Your Cart (0 items)
บริการ
เบอร์โทรศัพท์ (+66)2552 6468 วันที่ทำการ (จันทร์-ศุกร์) 08:30 –17:30 

กันซึม มีกี่ประเภท? แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร?

มี.ค. 06, 2025 by admin Blog 0 comment

กันซึม มีกี่ประเภท? แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร?

ปัญหาการรั่วซึมของน้ำเป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายให้กับอาคารและบ้านเรือนอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรอยร้าวบนผนัง รอยด่างบนเพดาน หรือน้ำขังบนพื้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณของปัญหาการรั่วซึมที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การเลือกใช้ระบบ กันซึม ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้ตั้งแต่ต้นเหตุ

ทำไมการกันซึมจึงสำคัญ?

  • ป้องกันความเสียหายต่อโครงสร้าง: น้ำที่ซึมเข้าไปในโครงสร้างอาคารสามารถทำให้เหล็กเป็นสนิม คอนกรีตแตกร้าว และไม้ผุพัง ซึ่งส่งผลต่อความแข็งแรงและความปลอดภัยของอาคาร
  • ป้องกันปัญหาเชื้อราและคราบสกปรก: ความชื้นที่เกิดจากการรั่วซึมเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อราและแบคทีเรีย ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและสร้างคราบสกปรกที่ไม่น่ามอง
  • ยืดอายุการใช้งานของอาคาร: การป้องกันการรั่วซึมอย่างมีประสิทธิภาพช่วยยืดอายุการใช้งานของอาคารและลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในระยะยาว
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่: การป้องกันการรั่วซึมช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่แห้งสบายและปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัย

ประเภทของ กันซึม และคุณสมบัติ

ในปัจจุบัน มีระบบ กันซึม ให้เลือกใช้มากมาย แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้:

กันซึมประเภทอะคริลิก (Acrylic Waterproofing)
กันซึมประเภทอะคริลิก (Acrylic Waterproofing)

กันซึมประเภทอะคริลิก (Acrylic Waterproofing):

  • เป็นวัสดุกันซึมชนิดเหลวที่มีความยืดหยุ่นสูง ทนทานต่อรังสียูวี และติดตั้งง่าย
  • เหมาะสำหรับดาดฟ้า ระเบียง และผนังภายนอกที่ไม่ต้องรับแรงกดดันจากน้ำมากนัก
  • มีราคาไม่สูงมากนัก
  • แต่มีข้อจำกัดด้านความทนทานต่อการขังของน้ำในระยะยาว
กันซึมประเภทโพลียูรีเทน (Polyurethane Waterproofing)
กันซึมประเภทโพลียูรีเทน (Polyurethane Waterproofing)

กันซึมประเภทโพลียูรีเทน (Polyurethane Waterproofing):

  • เป็นวัสดุกันซึมชนิดเหลวที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก ทนทานต่อสารเคมี และมีอายุการใช้งานยาวนาน
  • เหมาะสำหรับดาดฟ้า สระว่ายน้ำ ห้องใต้ดิน และพื้นที่ที่มีความชื้นสูง
  • มีราคาสูงกว่าอะคริลิก แต่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการรั่วซึมได้ดีกว่า
กันซึมประเภทบิทูเมน (Bitumen Waterproofing)
กันซึมประเภทบิทูเมน (Bitumen Waterproofing)

กันซึมประเภทบิทูเมน (Bitumen Waterproofing):

  • เป็นวัสดุกันซึมที่ทำจากยางมะตอย มีความยืดหยุ่นสูง ทนทานต่อความร้อน และมีราคาไม่แพง
  • มีทั้งแบบแผ่นและแบบเหลว
  • เหมาะสำหรับห้องใต้ดิน ดาดฟ้า และพื้นที่ที่ต้องการการป้องกันการรั่วซึมสูง
  • แต่มีข้อจำกัดด้านการติดตั้งที่ค่อนข้างยุ่งยาก และมีโอกาสเสื่อมสภาพเมื่อโดนแสงแดดจัดเป็นเวลานาน
กันซึมประเภทซีเมนต์ (Cementitious Waterproofing)
กันซึมประเภทซีเมนต์ (Cementitious Waterproofing)

กันซึมประเภทซีเมนต์ (Cementitious Waterproofing):

  • เป็นวัสดุกันซึมที่ทำจากซีเมนต์ผสมสารเคมี มีความแข็งแรง ทนทาน และราคาประหยัด
  • เหมาะสำหรับห้องน้ำ ห้องครัว และพื้นที่ที่ต้องการความแข็งแรง
  • มีข้อจำกัดด้านความยืดหยุ่น จึงไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มีการเคลื่อนตัว
กันซึมประเภทแผ่นเมมเบรน (Membrane Waterproofing)
กันซึมประเภทแผ่นเมมเบรน (Membrane Waterproofing)

กันซึมประเภทแผ่นเมมเบรน (Membrane Waterproofing):

  • เป็นวัสดุกันซึมชนิดแผ่นที่มีความหนาแน่นสูง ทนทานต่อการฉีกขาด และมีอายุการใช้งานยาวนาน
  • มีหลายประเภท เช่น PVC, TPO และ EPDM
  • เหมาะสำหรับดาดฟ้า สระว่ายน้ำ และพื้นที่ขนาดใหญ่
  • มีข้อจำกัดด้านการติดตั้งที่ต้องใช้ช่างผู้ชำนาญ
กันซึมประเภทโพลียูเรีย (Polyurea Waterproofing)
กันซึมประเภทโพลียูเรีย (Polyurea Waterproofing)

กันซึมประเภทโพลียูเรีย (Polyurea Waterproofing):

  • เป็นวัสดุ กันซึม ชนิดเหลวที่พ่นลงบนพื้นผิว มีความยืดหยุ่นสูง ทนทานต่อสารเคมี และติดตั้งได้รวดเร็ว
  • เหมาะสำหรับดาดฟ้าที่มีรูปทรงซับซ้อน
  • มีราคาสูง แต่มีประสิทธิภาพและความทนทานสูงมาก

    วิธีเลือกกันซึมให้เหมาะสม: ปกป้องบ้านของคุณจากความชื้นและน้ำรั่วซึม

    ปัญหาการรั่วซึมของน้ำเป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายให้กับบ้านและอาคารได้มาก ไม่ว่าจะเป็นรอยด่างบนผนัง สีลอกล่อน เชื้อรา หรือแม้แต่โครงสร้างที่เสียหาย การเลือกใช้กันซึมที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องบ้านของคุณจากปัญหาเหล่านี้ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับประเภทของกันซึมต่างๆ ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือก และวิธีการใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

    ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกกันซึม

    • ประเภทของพื้นผิว:
      • พื้นผิวแต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น คอนกรีต ไม้ โลหะ
      • ควรเลือกกันซึมที่สามารถยึดเกาะกับพื้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • สภาพแวดล้อม:
      • พิจารณาถึงสภาพอากาศและปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น แสงแดด ความชื้น อุณหภูมิ
      • เลือกกันซึมที่มีคุณสมบัติทนทานต่อสภาพแวดล้อมนั้นๆ
    • บริเวณที่ใช้งาน:
      • บริเวณที่มีโอกาสสัมผัสน้ำขังควรเลือกกันซึมที่มีคุณสมบัติทนน้ำขังได้ดี
      • บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวของโครงสร้างควรเลือกกันซึมที่มีความยืดหยุ่นสูง
    • งบประมาณ:
      • กันซึมแต่ละประเภทมีราคาที่แตกต่างกัน
      • ควรเลือกกันซึมที่เหมาะสมกับงบประมาณและมีคุณภาพดี

    วิธีการใช้งานกันซึมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

    • เตรียมพื้นผิว:
      • ทำความสะอาดพื้นผิวให้ปราศจากฝุ่น สิ่งสกปรก และคราบไขมัน
      • ซ่อมแซมรอยแตกร้าวหรือรอยร้าวบนพื้นผิว
      • หากเป็นพื้นผิวเก่า ควรขัดลอกสีเก่าออกให้หมด
    • ทาสีรองพื้น:
      • ทาสีรองพื้นเพื่อเพิ่มการยึดเกาะของกันซึม
      • เลือกสีรองพื้นที่เหมาะสมกับประเภทของกันซึม
    • ทากันซึม:
      • ทากันซึมตามคำแนะนำของผู้ผลิต
      • ทาให้ทั่วพื้นผิวและทาซ้ำตามจำนวนครั้งที่กำหนด
      • การทากันซึมควรทาในวันที่อากาศแห้ง และไม่มีความชื้น
    • ตรวจสอบและบำรุงรักษา:
      • ตรวจสอบสภาพของกันซึมอย่างสม่ำเสมอ
      • ซ่อมแซมรอยแตกร้าวหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นทันที

    ข้อควรระวัง

    • อ่านคำแนะนำของผู้ผลิตก่อนใช้งานทุกครั้ง
    • สวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงมือ หน้ากาก แว่นตา
    • ทำงานในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
    • หากไม่ชำนาญควรจ้างผู้เชี่ยวชาญ

    ข้อแนะนำเพิ่มเติม

    • ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการกันซึม เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกใช้ระบบกันซึมที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ
    • ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันซึมที่มีคุณภาพและได้รับการรับรองมาตรฐาน
    • ควรให้ความสำคัญกับการติดตั้งที่ถูกต้อง เพื่อให้ระบบกันซึมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สรุป

    การป้องกันการรั่วซึมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องบ้านและอาคารของคุณจากความเสียหาย การเลือกใช้ระบบกันซึมที่เหมาะสมและมีคุณภาพจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าบ้านของคุณจะปลอดภัยจากปัญหาน้ำรั่วซึมไปอีกนาน

    การเลือก กันซึม ที่เหมาะสมและการใช้งานอย่างถูกวิธีจะช่วยปกป้องบ้านของคุณจากปัญหาการรั่วซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยยืดอายุการใช้งานของบ้าน และลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในระยะยาว